เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรานะ หัวใจเรามันทุกข์มันยาก ร่างกายนี้ถ้ามันหิวมันกระหายนะ เราแสวงหาอาหารมามันก็อิ่มหนำสำราญ แต่หัวใจเวลามันทุกข์มันยากกว่าจะแก้ไขมันได้แสนทุกข์แสนยาก

เพราะเวลาเราเกิดมา เราเกิดมา ไข่ของแม่ สเปิร์มของพ่อ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันได้จากภพชาตินี้ เพราะเราเป็นมนุษย์ แต่เวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม กายทิพย์ๆ เวลาตกนรกอเวจี

เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ไง สิ่งที่ว่าร่างกายนี้มันได้มาจากโลกนี้ไง ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ แต่เวลาจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา เวลาสร้างเวรสร้างกรรมของมันมานะ เสวยภพแต่ละภพแต่ละชาติ

เวลาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่ความคิดไม่เหมือนกัน เห็นไหม เวลาคนความคิดที่ดีๆ เขาก็ความคิดที่ดีๆ มาตั้งแต่ต้น ไอ้ความคิดของเราเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมันครึ่งๆ กลางๆ ไง คนที่ครึ่งๆ กลางๆ ทำดีก็ทำมา ทำเวรกรรมก็ทำมา ทำสิ่งใดมา แต่เกิดในชาติปัจจุบันนี้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์

ผลของวัฏฏะๆ ผลของการเวียนว่ายตายเกิด ผลของการเวียนว่ายตายเกิดได้ทำมาแต่ละภพแต่ละชาติ พระโมคคัลลานะเวลาเกิดในชาติปัจจุบันนี้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีฤทธิ์มีเดชมาก แต่อดีตชาติเคยได้สร้างเวรสร้างกรรมมา เห็นไหม เวลาลัทธิต่างๆ เขาจะทำลายพระพุทธศาสนา เขาต้องทำลายมือซ้ายมือขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เวลาเขาจะมาทำร้ายพระโมคคัลลานะ เหาะหนีๆ นี่ในชาติปัจจุบันนี้เป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์มีเดชด้วย แต่เรื่องของเวรเรื่องของกรรม เพราะเศษกรรม เศษกรรมนั้น

เวลาไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด”

ในชาติปัจจุบันนี้ได้มาประพฤติปฏิบัติ ได้ชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของพระโมคคัลลานะ แต่เวลาเศษเวรเศษกรรมไง คำว่า เศษเวรเศษกรรม” กรรมที่ได้สร้างสมมาๆ

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กรรมที่ได้สร้างสมมา กรรมที่ได้สร้างสมมาไง แต่ถ้าสร้างสมมาดี เกิดมาคิดแต่ดีๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาคนเกิดมา เกิดมาสิ่งที่มีเวรมีกรรม คิดดีคิดเลวมันอยู่ที่พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่ทำมาเป็นสันดาน

แต่เวลาคนเรานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้ทำความดีๆ ไง วันนี้วันพระ วันพระเราแสวงหาบุญหากุศลของเรา ทำไมต้องแสวงหาบุญหากุศลของเรา

คนจะดีจะเลวขึ้นมา ทางวิทยาศาสตร์เขาต้องสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่ดีจะบ่มเพาะให้คนเป็นคนดี

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราที่มันจะดีงามได้ ที่เราเสียสละทานๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เสียสละ คำว่า เสียสละ” คือความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความยึดว่าของเราๆ ถ้าเราเสียสละไป เราเสียสละไป สิ่งที่เราเสียสละไป

เราเสียสละไปโดยคนที่มีปัญญานะ เราไม่ได้เสียสละไปโดยที่ว่ากระแสสังคมเขาพากันไป เรามีสติปัญญา มีปัญญาของเราไง เราก็ทุกข์เราก็ยาก คนอื่นก็ทุกข์ก็ยากเหมือนกัน เวลาทุกข์เวลายาก เราเสียสละของเราไปเพื่อความสุขของเขา เราเป็นผู้ให้ ให้ความสุขแก่คนอื่น สิ่งที่เราให้ความสุขคนอื่น นี่ไง มันจะเริ่มสภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมไง ถ้าสภาวะแวดล้อมที่ดีมันจะเปิดฟังคนอื่น

ที่เราไม่ยอมฟังใครเลยเพราะอะไรล่ะ กูแน่ กูแน่อยู่คนเดียว เราไม่ฟังใครเลย แล้วไม่ฟังใครเลย เราไม่ฟังใครเลยเพราะเราไม่มีประสบการณ์ไง

คนเรามีการศึกษามามากทั้งนั้นน่ะ ศึกษามาแล้ว ศึกษามามันก็ด้วยมุมมองด้วยทฤษฎี ด้วยการตีความของคน ศึกษามานะ อ่านตำรามาเล่มเดียวกันนั่นแหละ แต่ความเห็นแตกต่างกันไป นี่ก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา รู้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาการกระทำเรามันก็แตกต่างกันไป

ถ้าเราเสียสละทาน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สภาวะแวดล้อม เราจะสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีกับหัวใจของเรา ถ้าเราไม่ได้สร้างสภาวะแวดล้อมนี้มาเลยนะ “ของกูๆ” มองหน้าก็ไม่ได้ มองหน้าก็ยิง เหยียบเงายังไม่ได้เลย ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งสิ้น

แต่ถ้าเราสร้างสภาวะแวดล้อมหัวใจเราดีๆ เราเสียสละได้เลย เราเสียสละทานได้ เราให้คนอื่นได้ เขาจะมองหน้า เขาไม่เคยเห็นเขาก็มอง เป็นอะไรไป เออ! เขาจะเหยียบเงา เขาไม่มีทาง มันก็เหยียบได้ นี่ไง ถ้ามันสร้างสภาวะแวดล้อม ถ้าผลของทานๆ เราเห็นตั้งแต่ที่นี่ไง

แต่เราไม่คิดกันอย่างนั้น “อู๋ย! ทำบุญแล้วต้องถูกรางวัลที่ ๑ ทำบุญแล้วคนต้องรักเราทั้งประเทศเลย ทำบุญแล้วทุกคนต้องยกย่องว่าเป็นคนดี” มันหวังผลมากเกินไปเลยไม่ได้อะไรเลย

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันละเอียดลึกซึ้งลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้ง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเวลาทุกข์มันทุกข์ที่หัวใจ มันไม่ได้ทุกข์หรอกที่สภาวะแวดล้อมภายนอกนี่

สภาวะแวดล้อมภายนอก คนเราเกิดมานะ ทุกข์จนเข็ญใจ ปากกัดตีนถีบนะ คำว่า ปากกัดตีนถีบ” เราแสวงหา เราทำด้วยคุณงามความดีของเรา มันก็จะมีคนช่วยเหลือเจือจานนั่นแหละ ถ้าคนที่ประพฤติดีนิสัยดี เฮ้ย! มันดีว่ะ คนดีเรามาช่วยเหลือกัน แต่คนที่มันเลวร้าย ใครๆ ก็ไม่มองหรอก นี่พูดถึงว่าความที่มันช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่หัวใจนี้แสนยาก

เวลาสัตว์ป่าที่มันเกเรนะ เขายิงยาสลบเลย เขาขนย้ายเปลี่ยนที่มันได้ ร่างกายจะใหญ่โตแค่ไหนเขาควบคุมมันได้ แต่หัวใจของมันสิ สอนให้มันเป็นสัตว์ที่ดีสิ

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันทุกข์มันยาก ใครจะไปสั่งสอนมัน จะไปยิงยาสลบที่ไหน ยิงยาสลบความรู้สึกใช่ไหม เอาความรู้สึกมาบีบคั้น เอามาเปลี่ยนแปลงให้ความรู้สึกเราดีขึ้นใช่ไหม นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนเรื่องการเสียสละทาน

คนที่เสียสละทานได้ คนต้องมีสติปัญญาขึ้นมา เคยกระทำแล้วมันเห็นผลประโยชน์ของมันขึ้นมาไง คนเราที่มีจิตใจที่ดี บุญกุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม ถ้าบุญกุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พึ่งที่นี่ไง ให้พึ่งคุณงามความดีของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละชั่วทำดี ละชั่วทำดี การทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีมันต้องยืนยันในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การตายแล้วตายเล่า เกิดแล้วเกิดเล่า เสียสละชีวิตแล้วเสียสละชีวิตเล่า ทำเพื่อผลประโยชน์ของสังคม ทำเพื่อประโยชน์กับคนอื่น นี่สร้างสมบารมีมาๆ ไง

๔ อสงไชย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมต้องแสนกัป สาวกสาวกะมันต้องสร้างสมบ่มเพาะใจมาขนาดนั้น ถ้าสร้างสมไม่บ่มเพาะใจมาขนาดนั้น มันบิดเบี้ยวในหัวใจ มันบิดเบี้ยว ดูสิ จรวดอาวกาศยิงไปอาวกาศ เขาใช้คอมพิวเตอร์ เขาไม่ใช้คนหรอก เพราะมันวอกแวกๆๆ มันไปไม่ได้หรอก

ใจของคนก็เหมือนกัน ถ้ามันได้สร้างสมบุญญาธิการของมันมานะ มันมีจุดยืนของมัน มันไม่เชื่อใครง่ายๆ มันจะแสวงหาของมัน

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแสวงหามาขนาดไหน หลวงตาท่านพูดเอง “เราเป็นคนดื้อคนหนึ่ง” คนดื้อคือฟังคนได้ยากเพราะมันมีจุดยืนของมัน

ท่านพูดนะ ท่านเป็นคนดื้อคนหนึ่ง เป็นคนที่หาเหตุหาผลคนหนึ่ง ไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้น ใครจะว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านเรียนจบถึงเป็นมหา “เฮ้ย! นิพพานมีหรือเปล่า นิพพานมีจริงหรือเปล่า”

ไปหาหลวงปู่มั่นไง “มหา มหามาหาอะไร หานิพพานใช่ไหม นิพพานไม่อยู่ในตำรา นิพพานไม่อยู่ในภูเขาเลากา นิพพานไม่อยู่ในวัตถุธาตุ นิพพานอยู่ในใจของสัตว์โลก”

ท่านคือคนที่ดื้อคนหนึ่ง คือคนที่มีจุดยืน คนที่จะมีจุดยืน คนที่จะประพฤติภาวนาได้มันต้องมีหลักของมัน มันถึงตั้งใจภาวนา

แม้แต่สังคมเดี๋ยวนี้เขาเอามรรคเอาผลมาแจกกัน หลับหูหลับตาพระอรหันต์ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาจริงจังขึ้นมา เราไม่เชื่อ หลวงตาท่านไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่ท่านศึกษานิพพานมาด้วย นิพพานจะมีจริงหรือไม่มีจริง ทำไปแล้วจะสูญเปล่าหรือไม่ ต้องหาคนยืนยันๆ

เวลาหาคนยืนยันท่านก็หาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นท่านรู้วาระจิตอยู่แล้ว “มหา มาหาอะไร หามรรคผลนิพพานหรือ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน มรรคผลนิพพานอยู่ในใจของสัตว์โลก”

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันมีการแก้การไข การบ่มการเพาะกันไปตลอด นี่มันต้องมีเหตุมีผลของมันไง นี่ไง พูดถึงถ้าคนที่มีจุดยืน มีหลักการ เขาจะแสวงหาของเขาได้ แล้วจุดยืนหลักการก็เริ่มต้นจากตรงนี้ ทาน ศีล ภาวนา ก็เริ่มจากทานนี่แหละ

แล้วเราก็ “อู้ฮู! ไอ้พวกนั้นคนโง่เนอะ หาข้าวของมาก็เที่ยวไปเสียสละๆ”

มึงน่ะโง่ เขาฉลาด เขาฉลาดเพราะเขาหาประโยชน์เพื่อหัวใจของเขา มึงน่ะมันโง่ ของมึงๆ ตายไม่มีอะไรไปเลย แม้แต่เหรียญในปากเขายังงัดออกมาเลย ไม่มีหรอก

สิ่งที่มี ในโลกนี้เป็นวัตถุ วัตถุนี้เราเจือจานกันได้ งานทางโลกนะ เราแบ่งเบาภาระกันได้ ช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่การภาวนาไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรก็ค้นในใจของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร แล้วต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้บอกด้วย

เวลาพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรฟังเทศน์พระอัสสชิมาเป็นพระโสดาบัน เวลามาบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้เป็นผู้บอกทั้งสิ้น

นี่ไง ถ้ามันจะชี้บอก สิ่งที่จะทำมันทำในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ไม่มีใครทำให้ได้หรอก เวลาพระสารีบุตรไปเทศนาว่าการกับพระไง ว่าไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระก็ไปฟ้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นิมนต์มา

“พระสารีบุตร เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ” “จริง ไม่เชื่อ” “ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ”

“ศรัทธาความเชื่อมันแก้กิเลสไม่ได้” สิ่งที่เชื่อก็เชื่อในมรรคในผลในใจของพระสารีบุตรต่างหาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้บอกทาง พระสารีบุตรเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ แล้วมันเป็นได้จริงไง

นี่ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติได้จริงในใจของท่าน แล้วท่านเป็นผู้ชี้นำ หลวงปู่มั่นเป็นคนชี้นำหลวงตา เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ท่านศึกษาเป็นมหามา ต้องคนคอยชี้แนะๆ คอยชี้บอก จะติดจะหลงอย่างไรก็หลวงปู่มั่นลากออกมา ดึงออกมา ลากหัวใจออกมาที่มันเห็นผิดให้มันมาเห็นถูก

นี่ไง เวลาสัตว์ใหญ่เวลามันเกเร เขาใช้ปืนยาสลบยิงโป๊ะ สลบเลย แล้วเขาก็ขนย้ายมันไปปล่อยในที่ปลอดภัย

หัวใจของเอ็ง หัวใจของเอ็งที่มันเป็นยิ่งกว่าช้างสารมันตีโพยตีพายในหัวใจ ใครจะไปยิงยาสลบมัน ใครจะคอยควบคุมมัน ตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ ตัวเองก็โดนกิเลสมันบีบคั้น ตัวเองก็มีความทุกข์ความยาก จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็แสนทุกข์แสนยาก

เวลาหลวงปู่มั่นท่านวางยาสลบเลย ท่านยิงยาสลบผัวะ! “มหา มหา จิตเป็นอย่างไร”

“โอ้โฮ! สว่างครับ ดีครับ”

“นั่นแหละสมบัติบ้า สมบัติบ้า”

หลวงตาท่านพูดเอง สมบัติบ้าให้รื้อทิ้งเลย แล้วสมบัติบ้าเป็นอย่างไรล่ะ

อ้าว! สมบัติบ้า รื้อโต๊ะแล้วค้นหาใหม่เลย เพราะอะไร เพราะคนต้องมีเหตุผล นี่มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ในการประพฤติปฏิบัตินะ เวลาช้างมันตกมัน เวลามันเกเร เขายิงยาสลบเลย ขนย้ายมัน เวลาจิตของเอ็งล่ะเอาอะไรควบคุมมัน ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ไง

พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เวลาประพฤติปฏิบัติมาเป็นพระโสดาบันมาจากพระอัสสชิ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาง่วงเหงาหาวนอน พระโมคคัลลานะสัปหงกโงกง่วง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์ “โมคคัลลานะ ถ้าง่วงนอนนะ ให้เอาน้ำลูบหน้า ให้ตรึกในธรรม ให้แหงนหน้าดูดาว แล้วถ้ามันง่วงนักนอนซะ แล้วหายง่วงแล้วค่อยมาประพฤติปฏิบัติใหม่”

นี่คนชี้นำๆ มันต้องคนเป็นไง แต่เวลาเป็นขึ้นมาแล้วพระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร ไม่เชื่อเพราะมันเป็นจริงไง แต่เดิมเวลาปฏิบัติไม่เป็นก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นผู้ชี้บอกทาง เวลามันเป็นจริงขึ้นมาในใจจะเชื่อใคร ประสบการณ์ที่มันทำขึ้นมาได้จริงจะเชื่อใคร ก็กูทำมากับมือ

ถ้าใจมันไม่ได้ทำ ใจมันไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ มันจะมีมรรคมีผลขึ้นมาได้อย่างไร เที่ยวจำมาๆ อย่างนั้นใช่ไหม ท่องปากเปียกปากแฉะใช่ไหม นกแก้วนกขุนทอง พ่อแม่มันได้กล้วย มันรู้จักพ่อรู้จักแม่มันหรือ มันรู้ไหมตัวไหนฟักมันมา รู้ไหมตัวไหนเป็นพ่อมัน เวลา “พ่อแม่ๆ” พ่อแม่ก็ได้กล้วยใบหนึ่งไง เขาก็ป้อนกล้วย “พ่อจ๋า” กล้วยอันหนึ่ง “แม่จ๋า” กล้วยอันหนึ่ง นกขุนทองมันเข้าใจว่ากล้วยคือพ่อแม่นะ เพราะ “พ่อแม่” ได้กินกล้วยทุกทีเลย นี่ก็เหมือนกัน นกขุนทองท่องจำ ท่องจำกันมา แล้วมันได้อะไรมา

แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติเป็นการศึกษาเล่าเรียนมา ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจำไว้ แล้วมีผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติเอามาวิเคราะห์วิจัย มาแจกแจงขึ้นมาให้มันเป็นจริงขึ้นมาในใจของตน เวลามันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของตน “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เวลาเขาไป ไปอินเดียๆ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ เราไปดูสถานที่เกิด แก่ เจ็บ ตายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครไปแล้วนะก็ “อู๋ย! มันสุดยอด มหัศจรรย์ มันแบบว่าสดๆ ร้อนๆ หัวใจมันพองโต”

นั่นแสดงว่าเขาไม่เคยประพฤติปฏิบัติเลย เขาไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาเลย แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง เวลาปฏิบัติเข้าไปนะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พอจิตสงบแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ กลางหัวใจนะ ประพฤติปฏิบัตินี่สดๆ ร้อนๆ ธรรมะที่มีรสชาติ ควันกรุ่นๆ เลย สดๆ ร้อนๆ แล้วมันสดๆ ร้อนๆ มาจากไหนล่ะ สดๆ ร้อนๆ มาจากศรัทธาความเชื่อของเรา แล้วเรามีศรัทธาความเชื่อแล้วเราพยายามขวนขวายของเรา

สิ่งที่จำมาๆ จำมาเป็นทฤษฎี เป็นเครื่องหมายบอกทาง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สอนพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร นี่ก็เหมือนกัน เราไม่มีหนทางเลย เรามืด ๘ ด้านเลย เราจะเอาอะไรเป็นแนวทาง เราก็เอาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทาง

คำว่า แนวทาง” อย่าให้กิเลสมันสุ่ม สุ่มว่าของเราๆ เรารู้ เราประพฤติปฏิบัติ เราเข้าใจๆ

เข้าใจๆ มันก็โลกียปัญญา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งปัญญาเป็น ๓ ชั้น โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากโลก ปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณ ปัญญาเกิดจากความรู้สึกนึกคิดนี้ นี่โลกียปัญญา

เวลาสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เวลาจินตมยปัญญา จินตนาการ จินตนาการของเราก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ จินตนาการของเด็กเป็นเรื่องหนึ่งนะ จินตนาการของผู้ที่มีสติปัญญาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย แล้วจินตนาการที่จิตมันสงบระงับแล้ว โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มาก จนเข้าใจว่าพระอรหันต์เลย เข้าใจว่า เข้าใจว่า นี้ธรรม นี้ธรรม

ถ้าคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา โดยวุฒิภาวะที่อ่อนแอก็เชื่อไปเลย หลงให้กิเลสครอบงำไปเลย นั่นน่ะหลวงตาท่านบอกว่าสมาธิหัวตอ หัวตอ หัวตอคือตัวจิต จิตคร่อมตอไว้ คร่อมจิตไว้ คร่อมกิเลสไว้ หมกกิเลสไว้ในใจโดยไม่รู้ไม่เห็นไง

ถ้ามันพิจารณาแยกแยะเข้าไปมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ก็ตัวตอนั่นน่ะ ตัวที่กิเลสมันครอบงำไว้มันตื่นขึ้นมา มันวิเคราะห์วิจัยของมันขึ้นมาในตัวของมันเอง นี่ไง ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เวลามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม

วันพระ เวลาพระนะ พระผู้ประเสริฐ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะความรู้สึกในใจของเรา เราไม่ได้ปลุกมันขึ้นมาเลย เราไม่รู้จักตัวมันเลย เราไปรู้จักแต่เกิดดับๆๆ วิทยาศาสตร์ก็เกิดดับ จินตนาการของโลก วิทยาศาสตร์เข้าได้แค่จินตนาการ ได้แค่อนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังๆ เกิดดับๆ

เกิดดับอนิจจังทั้งนั้นน่ะ วิทยาศาสตร์เข้าได้แค่อนิจจัง คือธรรมะที่เป็นสสารในธรรมชาตินี้ แล้วเวลาจิต ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ๆ นี่ไง ธาตุรู้ไง แล้วเกิดอนัตตาที่มันเป็นจริง ที่ว่าเกิดภาวนามยปัญญา เราจะเห็นต่างไปเลย

นี่ไง อนิจจังคือวิทยาศาสตร์ที่คิดจินตนาการก็ได้ ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ แต่ถ้าอนัตตาๆ อนัตตาเหนือธรรมชาติ เหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหนือสภาวะที่วิทยาศาสตร์ ที่ธรรมชาติที่มันแปรสภาพของมัน สสารที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เวลามันทำลายธาตุรู้แล้ว ธาตุรู้ๆๆ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของเรานี่ไง ถ้ารื้อหัวใจของเรา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง